กาพย์เห่เรือ 



ประเพณีการเห่เรือของไทยมี ๒ ประเภท คือ
๑. เห่เรือหลวง เป็นการเห่ในพระราชพิธี ในสมัยโบราณสันนิษฐานว่าใช้ภาษาสันสกฤตของอินเดีย ซึ่งเป็นมนต์ในตำราไสยศาสตร์ ต่อมาได้นำบทพระราชนิพน์ของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์มาใช้เห่เรือหลวง
๒. เห่เรือเล่น เห่ในเวลาแล่นเรือเที่ยวแตร่ เพื่อความรื่นเริงและให้ฝีพายพายพร้อมๆ กัน การเห่เรือเล่นใช้ภาษาไทย การพายใช้สองจังหวะคือ จังหวะจ้ำกับจังหวะปกติ
การเห่เรือหลวงมี ๔ อย่างคือ เห่โคลงนำกาพย์ หรือเกริ่นโครง เมื่อพระเจ้าแผ่นดินลงประทับในเรือพระที่นั่ง ขณะเรือพระที่นั่งแล่นระหว่างทางใช้ทำนอง ช้าละวะเห่ ซึ่งเป็นทำนองเห่ช้าพลพายนกบินจังหวะช้า พอจวนถึงที่ประทับใช้ทำนอง สวะเห่ ระหว่างทางในการเดินทางกลับเป็นทำนอง มูลเห่ เมื่อจบบทพายจ้ำสามทีส่งทุกบท

๑. อธิบายเนื้อเรื่องกาพย์เห่เรือได้
๒. พิจารณาคุณค่าวรรณศิลป์จากเรื่องกาพย์เห่เรือได้





กาพย์เห่เรือของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์มี ๒ ตอน
ตอนที่ ๑ ชมพยุหยาตราทางชลมารคตั้งแต "พระเสด็จโดยแดนชล ทรงเรือต้นงามเฉิดฉาย" ต่อจากชมกระบวนเรือ ว่าด้วยชมปลา ชมไม้ ชทนก เป็นลักษณะนิราศ กาพย์เห่เรือเรื่องนี้เห็นได้ในสำนวนว่าเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ทรงนิพนธ์สำหรับเห่เรือของท่านเอง เวลาตามเสด็จขึ้นพระพุทธบาทออกจากจังหวัดพระนครศรีอยุทธยาแต่เช้า พอตกเย็นก็ถึงท่าเจ้าสนุก
ตอนที่ ๒ เป็นคำสังวาสเอาเรื่องพระยาครุฑลักนางกากีมาทำบทขึ้นต้นว่า ไกงกรโอบอุ้มแก้ว เจ้างามแพร้วสบสรรพพางค์" แล้วว่าต่อไปเป็นกระบวนสังวาสจนจบ
ในที่นี้จะยกตัวอย่างให้ศึกษาบางตอนคือ บทเห่ชมเรือกระบวน บทเห่ชมปลา บทเห่ชมไม้ บทเห่ชมนก และจบลงด้วยบทเห่ครวญ


ตอนที่ ๑ กล่าวชมเรือกระบวน ชมปลา ชมไม้ ชมนก และแทรกบทครำครวญถึงนางอันเป็นที่รัก
ตอนที่ ๒ เป็นบทเห่เรียกว่า เห่กากีเป็นบทคร่ำครวญถึงนางอันเป็นที่รักเพียงอย่างเดียว
ลักษณะการแต่งประกอบด้วยโคลงสี่สุภาพ ๑ บท ใช้เป็นบทนำกระบวนความแตละตอน และต่อด้วยกาพย์ยานี ๑๑ พรรณนาความของเนื้อหาในเนื้อเรื่อง จนจบตอนหนึ่งๆ โดยไม่จำกัดจำนวนบท

เห่ชมเรือกระบวน
โคลง
ปางเสด็จประเวศด้าว ชลาลัย
ทรงรัตนพิมานชัย กิ่งแก้ว
พรั่งพร้อมพวกพลไกร แหนแห่
เรือกระบวนต้นแพร้ว เพริศพริ้งพายทอง
กาพย์
พระเสด็จโดยแดนชล ทรงเรือต้นงามเฉิดฉาย
กิ่งแก้วแพร้วพรรณราย พายอ่อนหยับจัลงามงอน
นาวาแน่นเป็นขนัด ล้วนรูปสัตว์แสนยากร
เรือริ้วทิวธงสลอน สาครลั่นครั่นครื้นฟอง
เรือครุฑยุดนาคหิ้ว ลิ้วลอยมาพาผันผยอง
พลพายกรายพายทอง ร้องโห่เห่โอ้เห่มา
สรมุขมุขสี่ด้าน เพียงพิมานผ่านเมฆา
ม่านกรองทองรจนา หลังคาแดงแย่งมังกร
สมรรถชัยไกรกาบแก้ว แสงแวววับจับสาคร
เรียบเรียงเคียงคู่จร ดั่งร่อนฟ้ามาแดนดิน
สุวรรณหงส์ทรงพู่ห้อย งามชดช้อยลอยหลังสินธุ์
เพียงหงส์ทรงพรหมินทร์ ลินลาศเลื่อนเตือนตาชม
เรือชัยไวว่องวิ่ง รวดเร็วจริงยิ่งอย่างลม
เสียงเส้าเร้าระดม ห่มท้ายเยิ่นเดินคู่กัน
คชสีห์ที่ผาดเผ่น ดูดังเป็นเห็นขบขัน
ราชสีห์ที่ยืนยัน คั่นสองคู่ดูยิ่งยง
เรือม้าหน้ามุ่งน้ำ แล่นเฉื่อยฉ่ำลำระหง
เพียงม้าอาชาทรง องค์พระพายผายผันผยอง
เรือสิงห์วิ่งเผ่นโผน โจนตามคลื่นฝืนฝ่าฟอง
ดูยิ่งสิงห์ลำพอง เป็นแถวท่องล่องตามกัน
นาคาหน้าดังเป็น ดูเขม้นเห็นขบขัน
มังกรถอนพายพัน ทันแข่งหน้าวาสุกรี
เลียงผาง่าเท้าโผน เพียงโจนไปในวารี
นาวาหน้าอินทรี มีปีกเหมือนเลื่อนลอยโพยม
ดนตรีมี่อึงอล ก้องกาหลพลแห่โหม
โห่ฮึกครึกครื้นโครม โสมนัสชื่นรื่นเริงพล
กรีธาหมู่นาเวศ จากนคเรศโดยสาชล
เหิมหื่นชื่นกระมล ยลมัจฉาสารพันมี
๑.เวลาเช้าเห่ชมกระบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารค พรรณนาถึงเรือพระที่นั่ง เช่น
สมรรถไชย ไกรสรมุข สุวรรณหงส์ เรือชัย เรือที่มีโขนหัวเรือเป็นรูปสัตว์ต่างๆ เช่น เรือครุฑยุดนาค เรือนาคา เรือม้า เรือวาสุกรี เรือคชสีห์ เรือราชสีห์ เรือมังกร เรือเลียงผา เรือนกอินทรีเป็นต้น
(เรือที่ได้รับยกย่องว่าเป็นเรือที่มีลักษณะสวยงามที่สุด คือ เรือสุวรรณหงส์)
เรืออนันตนาคราช
เรือสุวรรณหงส์
คำศัพท์ในบทเห่ชมเรือกระบวน
คำศัพท์ ความหมาย
สมรรถไชย เรือศรีสมรรถชัย เป็นเรือพระที่นั่ง
ครุฑยุดนาค ลักษณะเรือมีโขนหัวเรือเป็นรูปครุฑจับนาค
นาคา เรือที่มีโขนหัวเรือเป็นรูปนาค
เรือม้า เรือที่มีลักษณะโขนหัวเรือเป็นม้าสีทอง ท่าทางองอาจในตาเข้ม
มองไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ กล้าเผชิญกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น
เรือสุวรรณหงส์ ลักษณะเป็นเรือพระที่นั่ง มีโขนเรือเป็นรูปหงส์ทอง มีพู่ห้อนลงมา
ประเวศ การเข้ามา การเข้าถึง การเข้าสู่
ดาว แดน
ชลาลัย ทางน้ำ
นาวา เรือ
กิ่งแก้ว ชื่อเรือพระที่นั่ง
เรือต้น เรือหลวง
ไกรกาบแก้ว ชื่อเรืพระที่นั่งสมัยอยุทธยา
สาคร ท้องน้ำ
เรือไชย เรือสำหรับข้าราชการ รักษาพระองค์ เรือไม่ใหญ่ เบา เร็ว
คชสีห์ เรือที่มีโขนเรือเป็นรูปคชสีห์ หัวเป็นช้างตัวเป็นราชสีห์
เรือม้า เรือที่มีโขนหัวเรือเป็นรูปม้า ม้าเป็นพาหนะของพระพาย
เรือสิงห์ เรือที่มีโขนเรือเป็นรูปสิงห์
วาสุกรี เรือที่มีโขนหัวเรือเป็นรูปพระยานาค
มังกร เรือที่มีโขนหัวเรือเป็นรูปมังกร สัตว์ในเทพนิยายคล้ายงูมีขาบินได้
เลียงผา เรือที่มีโขนหัวเรือเป็นรูปเรียงผา (สัตว์จำพวกเนื้อชนิดหนึ่ง)
เรืออินทรี เรือที่มีโขนหัวเรือ่เป็นรูปนกอินทรี
โพยม ท้องฟ้า อากาศ
กาหล น. แตรงอน ว.เอะอะอื้ออึง
โสมนัส ความสุขใจ ความปลายปลื้ม ความเบิกบาน
กรีฑา กีฬาประเภทหนึ่ง มีประเภทลู่และลาน การเล่นสนุก การประลองยุทธิ์
กรีธา เคลื่อน ยก เดินทางเป็นหมู่ เป็นกระบวน
บทเห่ชมปลา
โคลง
พิศพรรณปลาว่ายเคล้า คลึงกัน
ถวิลสุดาดวงจันทร์ แจ่มหน้า
มัตสยาย่อมพัวพัน พิศวาส
ควรฤพรากน้องช้า ชวดเคล้าคลึงชม
กาพย์
พิศพรรณปลาว่ายเคล้า คิดถึงเจ้าเศร้าอารมณ์
มัตสยายังรู้ชม สมสาใจไม่พามา
นวลจันทร์เป็นนวลจริง เจ้างามพริ้งยิ่งนวลปลา
คางเบือนเบือนหน้ามา ไม่งามเท่าเจ้าเบือนชาย
เพียนทองงาทดังทอง ไม่เหมือนน้องห่มตาดพราย
กระแหแหห่างชาย ดั่งสายสวาทคลาดจากสม
แก้มช้ำช้ำใครต้อง อันแก้มน้องช้ำเพราะชม
ปลาทุกทุกข์อกตรม เหมือนทุกข์พี่ที่จากนาง
น้ำเงินคืเงินยวง ขาวพรายช่วงสีสำอาง
ไม่เทียบเปรียบโฉมนาง งามเรืองเรื่องเนื้อสองสี
ปลากรายว่ายเคียงคู่ เคล้ากันอยู่ดูงามดี
แต่นางห่างเหินพี่ เห็นปลาเคล้าเศร้าใจจร
หางไก่ว่ายแหวกว่าย หางไก่คล้ายไม่มีหงอน
คิดอนงค์องค์เอวอร ผมประบ่าอ่าเอี่ยมไร
ปลาสร้อยลอยล่องชล ว่ายเวียนวนปนกันไป
เหมือนสร้อยทรงทรามวัย ไม่เห็นเห็นเจ้าเศร้าบ่วาย
เนื้ออ่อนอ่อนแต่ชื่อ เนื้อน้องฤๅอ่อนทั้งกาย
ใครต้องข้องจิตชาย ไม่วายนึกตรึกตรึงทรวง
ปลาเสือเหลือที่ตา เลื่อมแหลมกว่าปลาทั้งปวง
เหมือนตาสุดาดวง ดูแหลมล้ำขำเพราคม
แมลงภู่คู่เคียงว่าย เห็นคล้ายคล้ายน่าเชยชม
คิดความยามเมื่อสม สนิทเคล้าเจ้าเอวบาง
หวีเกศเพศชื่อปลา คิดสุดาอ่าองค์นาง
หวีเกล้าเจ้าสระสาง เส้นเกศสลวยรวยกลิ่นหอม
ชะแวงแฝงฝังแนบ ชะวาดแอบแปบปนปลอม
เหมือนพี่แอบแนบถนอม จอมสวาทนาฏบังอร
พิศดูหมู่มัจฉา ว่ายแหวกมาในสาคร
คะนึงนุชสุดสายสมร มาด้วยพี่จะดีใจ
๒. เวลาสาย บทเห่ชมปลา
เป็นการพรรณนาถึงชื่อปลาซึ่งมีชื่อปลาต่างๆกัน และได้พรรณนาปลาทั้งหมด 17 ชนิด ในการพรรณนานี้ก็ได้เปรียบปลาเหมือนนางอันเป็นที่รัก มีการอุปมาอุปมัยได้ชัดเจน โดยมีการนำชื่อปลาเหล่านี้มาเชื่อมโยงกับความรู้สึกของกวีที่มีความรักมั่นคงต่อนางผู้เป็นที่รักทั้งความรู้สึกรักใคร่ เป็นห่วงนางผู้เป็นที่รักโดยมีชื่อปลาดังกล่าวคือ ปลาแก้มช้ำ ปลาน้ำเงิน ปลากราย ปลาหางไก่ ปลาสร้อย ปลาเนื้ออ่อน ปลาเสือ ปลาหวีเกศ ปลาแปบ ปลาชะวาด ปลาชะแวง ปลานวลจันทร์ ปลาคางเบือน ปลากระแห ปลาตะเพียน ปลาเคล้าดำปลานวลจันทร์
(ปลาที่มีความหมายนัยแฝงเกี่ยวกับชีวิตเจ้าฟ้ากุ้ง คือ ปลาเนื้ออ่อน)
ปลาที่ปรากฏในบทเห่ชมปลา
นวลจันทร์ ชื่อปลาน้ำจือชนิดหนึ่ง ลำตัวเรียวยาว แบนข้าง ตาเล้ก ปลากอยู่ต่ำที่ปลายหัว ไม่มีหนวด
เกร็ดเล็กตัวด้านหลังสีน้ำตาลเทา ท้องสีขาว ปลายครีบหลังและครีบท้องสีชมพู
อาศัยตามลำน้ำทั่วไป
คางเบือน ชื่อปลาน้ำจืดไม่มีเกล็ดชนิดหนึ่ง คล้ายปลาค้าวแต่เล้กกว่า ปากเชิดขึ้น จะงอยปากสั้น
ครีบหลังเล็ก ครีบอกใหญ่ บางทีเรียกว่าปลาเบี้ยว หรือขบ หรืออ้ายเบี้ยว ตะเพียน
ชื่อปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง หนวดสั้น กร็ดสีขาวเงิน ขอบเรียบ ลำตัวสั้นป้อม แบนข้าง
เช่นตะเพียนขาว ตะเพียนทอง ตะเพียนหางแดง หรือกระแห บางชนิดลำตัวเรียว
เช่น ตะเพียนทราย แต่ชื่อตะเพียนทอง มีความหมายอีกอย่างหนึ่ง คือ
หมายถึงปลาฉลามขนาดใหญ่ บางทีเรียกว่าฉลามเสือ หรือ พิมพา เป็นปลาที่ดุร้ายมาก
กระแห ปลาตะเพียนจำพวกหนึ่ง
แก้มช้ำ ชื่อปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง รูปร่างคล้ายปลาตะเพียน แต่ลำตัวเรียวกว่า หัวสั้น
แก้มสองข้างเป็นสีแดงช้ำ พื้นครีบหางสีแดง ริมดำ
ทุก ชื่อปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ไม่มีเกล็ด หัวแหลม หนวดยาว ปากกว้าง ฟันแหลมคม
ตัวแบน ข้างเรียวยาวไป ทางหาง ตัวและครีบสีดำคล้ำ บางทีเรียกว่าปลาค้าวดำคูน
อีซุก อีทุก หรืออีทุบ
น้ำเงิน ชือปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง บางทีเรียกว่าปลาแดง หรือปลาเนื้ออ่อน
กราย ชื่อปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ลักษณะ ค่อยข้างแบนมาก ครีบหางติดกับท้องคล้ายกับปลาสลาด
มีเกล็ดเล็กๆ ปากบนยาวเกอนนัยน์ตา จุดดำๆ เรียงแถวไปตามครีบทั้งสองด้าน
บางทีเรียกว่าตองกราย หรือหางแพน
หางไก่ ชื่อปลาทะเลชนิดหนึ่ง ลำตัวแบนข้าง ปลายปากถึงครีบหลังกว้างเป็นรูปสามเหลี่ยม
เกล็ดเล้กหลุดง่าย ก้านครีบอกยืดยางคล้ายหนวด
สร้อย ชื่อปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ลำตัวสีขาวเงิน มีจุดคล้ำหรือจุดดำบนเกล็ด จนเห็นเป็นเส้นสายหลายแถบ
พาดตามยาวอยู่ข้างตัว
เนื้ออ่อน ปลาน้ำจืด ไม่มีเกล็ด มีฟันเล็กแหลมคม ลำตัวตัวแบนข้างท้องเป็นสีเงิน อาจมรหรือไม่มีครีบหลีง
ก้ได้ เรียกชื่อต่างๆ กันหลายชื่อ เช่น ปลาแดง ปลาเกด ปีกไก่ นาง ชะโอน โอน น้ำเงิน หน้าสั้น
สยุมพร หรือเซียม
เสือ ชื่อปลาทะเลหรือปลาน้ำกร่อย รูปร่างสั้น แบนข้างและกว้างหัวทู่ ปากเล็ก
เกล็ดเล็ก พื้นลำตัวสีต่างๆ กัน เช่น เขียว เทา น้ำตาล ลำตัวครึ่งบนสีเข้ม
มีแถบดำพาดขวาง ด้านล่างมีจุดทั่วตัว ครีบสีเหลืองอ่อนปนเทาอาศัยทั้ในน้ำจืด
และในทะเลบางทีเรียกว่า ปลาตะกรับ หรือปลากระทะ
หวีเกศ หรือเกด เป็นชื่อปลาชนิดหนึ่งไม่มีเกล็ด เป็นพวกปลาเนื้ออ่อน ลำตัวใส
หัวทู่ มีหนวดสองคู่ ไม่มีครีบหลีง บางทีเรียกว่าปีกไก่ หรือนาง อีกชนิดหนึ่งหนวดสั้น
บางทีเรียกว่าปลาแดง ปลาเซือม หรือละงั่ว
ชะแวง ชื่อปลาน้ำจืด
ชะวาด ชื่อปลาน้ำจืด
แปบ ปลาน้ำจืด ลำตัวแบนข้าง สันท้องคมไม่มีหนวด มีหลายชนิด เช่น ปลาแปบขาว ปลาท้องพลุ
บทเห่ชมไม้
โคลง
เรือชายชมมิ่งไม้ มีพรรณ
ริมท่าสาครคันธ์ กลิ่นเกลี้ยง
เพล็ดดอกออกแกมกัน ชู่ช่อ
หอมหื่นรื่นรสเพี้ยง กลิ่นเนื้อนวลนาง
กาพย์
เรือชายชมมิ่งไม้ ริมท่าไสวหลากหลายพรรณ
เพ็ดดอกออกแกมกัน ส่งกลิ่นเกลี้ยงเพียงกลิ่นสมร
ชมดวกพวงนางแย้ม บานแสล้มแย้มเกสร
คิดความยามบังอร แย้มโอษฐ์ยิ้มพริ้มพรายงาม
จำปาหนาแน่นเนือง คลี่กลีบเหลืองเรืองอร่าม
คิดคะนึงถึงนงราม ผิวเหลืองกว่าจำปาทอง
ประยงค์ทรงพวงห้อย ระย้าย้อยห้องพวงกรอง
เหมือนอุบะนวลละออง เจ้าแขวนไว้ให้เรียมชม
พุดจีบกลีบแสล้ม พิกุลแกมแซมสุกรม
หอมชวยรวยตามลม เหมือนกลิ่นน้องต้องติดใจ
สาวหยุดพุทธชาด บานเกลื่อนกลาดดาษดาไป
นึกน้องกรองมาลัย วางให้พี่ที่ข้างหมอน
พิกุลบุนนาคบาน กลิ่นหอมหวานซ่านขจร
แม้นนุชสุดสายสมร เห็นจะวอนอ้อนพี่ชาย
เต็งแต้วแก้วกาหลง บานบุษบงส่งกลิ่นอาย
หอมอยู่ไม่รู้หาย คล้ายกลิ่นผ้าเจ้าตราตรู
มะลิวัลย์พันจิกจวง ดอกเป็นพวงร่วงเรณู
หอมมาน่าเอ็นดู ชูชื่นจิตคิดวนิดา
ลำดวนหวนหอมตรลบ กลิ่นอายอบสบนาสา
นึกถวิลกลิ่นบุหงา รำไปเจ้าเศร้าถึงนาง
รวยรินกลิ่นรำเพย คิดพี่เคยเชยกลิ่นปราง
นั่งแนบแอบแอวบาง ห่อนแหห่างว่างเว้นวัน
ชมดวงพวงมาลี ศรีสาวภาคย์หลากหลายพรรณ
วนิดามาด้วยกัน จะอ้อนพี่ชี้ชมเชย
๓. ตอนบ่าย - บทเห่ชมดอกไม้ ตามชายฝั่ง ได้แก่
ดอกนางแย้ม ดอกจำปา ดอกประยงค์ ดอกพุดจีบ ดอกพิกุล ดอกสุกรม ดอกสายหยุด ดอกพุทธชาด
ดอกบุนนาค ดอกเต็ง ดอกแต้ว ดอกแก้ว ดอกกาหลง ดอกมะลิวัลย์ และดอกลำดวน
(มีการกล่าวถึงเป็นพิเศษ "บุหงารำไป" ซึ่งเป็นดอกไม้แห้งอบหอม ห่อด้วยผ้าโปร่ง)
ดอกไม้ที่ปรากฏในบทเห่ชมไม้
แก้ว ไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดกลาง กิ่งก้านสีขาว ใบสีเขียวสดเป็นช่อ
ช่อละ ๓-๔ ใบ เรียงสลับกัน ดอกสีขาวมีกลิ่นหอม ขึ้นตามป่า
ที่ร่มเย็นบางต้นมีหลายง่าม ใช้ทำด้ามมีดและไม้ถือ
จวง คือต้นเทพาโร มีกลิ่นหอมคล้ายการบูร เปลือกหอม
ใช้ปรุงอาหาร รากใช้ทำยาไทย
จิก ไม้ต้นจำพวกหนึ่ง มีหลายชนิด ดอกขาวๆ หรือแดงๆ
มักออกเป็นช่อยาวห้อยระย้า ขึ้นในที่ชุ่มชื้น เช่น ห้วยน้ำ
ลำคลอง
จำปา ไม้ต้นชนิดหนึ่ง คล้ายจำปี ดอกสีเหลืองอมส้ม กลีบดอกใหญ่
และหนากว่าดอกจำปี
เต็ง ไม้ป่ายืนต้นชนิดหนึ่ง เนื้อแข็ง มีแก่นมาก ใช้ทำเสาเรือน
แต้ว ไม้ต้นชนิดหนึ่ง ใบกลม มีดอกสีขาวหรือสีชมพูอ่อน เมื่อขยี่
จะมีกลิ่นหอม บางทีเรียกว่า ติ้วเส้น
บุนนาค ไม้ต้นขนาดกลาง ลำต้นมักเป็นพูเล็กน้อย เปลือกสีเทาปนน้ำตาล
ขรุขระ ใบมนรี ปลายใบแหลม มีดอกคล้ายสารภีออกตามง่ามใบ
มีกลิ่นหอมดอกสีขาวหรืออมชมพูเรื่อ
ดอกไม้ที่ปรากฏในบทเห่ชมไม้
ประยงค์ ไม้พุ่มชนิดหนึ่ง สูงประมาณ ๒ เมตร ดอกสีเหลืองเป็นช่อ
ดอกย่อยเป็นดอกกลมเล็กๆ ออกตามซอกใบ มีกลิ่นหอมมาก
พิกุล ไม้ต้นชนิดหนึ่ง ดอกเล็กเป็นจักๆ มีกลิ่นหอมและหอมอยู่จนแห้ง
พุดจีบ ไม้พุ่มชนิดหนึ่ง ใบคล้ายต้นพุดธรรมดาดอกเล็กสีขาว
กลีบดอกมีลักษณะเป็นจีบ
พุทธชาด ไม้ต้นชนิดหนึ่ง ดอกคล้ายต้นพุดลาแต่เล็กมีกลิ่นหอม
นางแย้ม ไม้พุ่มขนาดเล็ก ใบออกตรงข้ามกัน มีรูปไข่
ปลายใบแหลม โคนใบเว้า แบบหัวใจ ขอบใบหยัก
มีขนเล็กน้อย ดอกเป็นช่อสั้นๆ เบียดกันแน่น กลีบดอก
มักซ่อน มีสีขาวหรือสีแดงเรื่อๆ กลิ่นหอม
ดอกไม้ที่ปรากฏในบทเห่ชมไม้
รำเพย ต้นไม้ดอกขนาดย่อม มียางขาว ใบคล้ายใบยี่โถ
ดอกสีเหลืองรูปเป็นกระบอก ปากบาน บางทีเรียกว่า
ยี่โถฝรั่ง หรือกระบอก
ลำดวน ต้นไม้ชนิดหนึ่ง ดอกคล้ายดอกนมแมว มีกลิ่นหอม
สาวหยุด คือสายหยุด เป็นไม้เลื้อยชนิดหนึ่ง คล้ายดอกกระดังงา
มีกลิ่นหอมพอสายก็หมดกลิ่น
สุกรม ไม้ต้นขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ใบรี ผลเมื่อสุกมีสีแดง
ใช้ทำยาไทย
บทเห่ชมนก
โคลง
รอนรอนสุริยโอ้ อัสดง
เรื่อยเรื่อยลับเมรุลง ค่ำแล้ว
รอนรอนจิตจำนง นุชพี่ เพียงแม่
เรื่อยเรื่อยเรียมคอยแก้ว คลับคล้ายเรียมเหลียว
กาพย์
เรื่อยเรื่อยมารอนรอน ทิพากรจะตกต่ำ
สนธยาจะใกล้ค่ำ คำนึงหน้าเจ้าตราตรู
เรื่อยเรื่อยมาเรียงเรียง นกบินเฉียงไปทั้งหมู่
ตัวเดียวมาพลัดคู่ เหมือนพี่อยู่ผู้เดียวดาย
เห็นฝูงยูงรำฟ้อน คิดบังอรร่อนรำกราย
สร้อยทองยิ่งเยื้องชาย เหมือนสายสวาทนาดนวยจร
สาลิกามาตามคู่ ชมกันอยู่สู่สมสมร
แต่พี่นี้อาวรณ์ ห่อนเห็นเจ้าเศร้าใจครวญ
นางนวลนวลน่ารัก ไม่นวลพักตร์เหมือนทรามสงวน
แก้วพี่นี้สุดนวล ดั่งนางฟ้าหน้าใยยอง
นกแก้วแจ้วแจ่มเสียง จับไม้เรียงเคียงคู่สอง
เหมือนพี่นี้ประคอง รับขวัญน้องต้องมือเบา
ไก่ฟ้ามาตัวเดียว เดินท่องเที่ยวเลี้ยวเหลี่ยมเขา
เหมือนพรากจากนงเยาว์ เปล่าใจเปลี่ยวเหลียวหานาง
แขกเต้าเคล้าคู่เคียง เรียงจับไม้ไซ้ปีกหาง
เรียมคะนึงถึงเอวบาง เคยแนบข้างร้างแรมนาน
ดุเหว่าเจ่าจับร้อง สนั่นก้องซ้องเสียงหวาน
ไพเราะเพราะกังวาน ปานเสียงน้องร้องสั่งชาย
โนรีสีปานชาด เหมือนช่างฉลาดวาดแต้มลาย
ไม่เท่าเจ้าโฉมฉาย ห่มตาดพรายกรายกรมา
สัตวาน่าเอ็นดู คอยหาคู่อยู่เอกา
เหมือนพี่ที่จากมา ครวญหาเจ้าเศร้าเสียใจ
ปักษีมีหลายพรรณ บ้างชมกันขันเพรียกไพร
ยิ่งฟังวังเวงใจ ล้วนหลายหลากมากภาษา
นกที่ปรากฏในบทเห่ชมนก
นกยูง
วงศ์ PHASIANIDAE
Pavo mupicus Linnaeus , 1766
ลักษณะ : นกจำนวกไก่ฟ้าขนาดใหญ่ลำตัวยาว120-210เซนติเมตรซึ่งรวมหางนกตัวผู้ที่มีความยาวถึง100เซนติเมตร ด้วยนกตัวผู้ยังมีหงอนพู่สูงและมีแผ่นหนังที่หน้าสีฟ้าสลับสีเหลืองเห็นได้ชัดเจนขนลำตัวมีสีเขียว เป็นประกายแววเหลือบสีน้ำเงินบนปีกและสีทองแดงทางด้านป็นลายเกล็ดพรายไปทั้งตัวขนปีกบินสีน้ำตาลแดง ขนคลุมโคนหางยื่นยาวออกมากมาสีเขียวและมีจุดตวงตากลมที่ขลิบด้วยสีฟ้า และสีน้ำเงินนกตัวเมียลักษณะโดยทั่วไป คล้ายนกตัวผู้แต่ขนสีเหลือนเขียวน้อยกว่าและมีประสีน้ำตาลเหลืองอยู่ทั่วไปขนคลุมโคนหางไม่ยื่นยาว
ดังเช้นในนกตัวผู้
อุปนิสัย : ออกหากินตามหาดทรายและสันทรายริมลำธารในตอนเช้าตรู่จนกระทั่งถึงตอนบ่ายกินทั้งเมล็ดพืชและสัตว์เล็กๆแล้วจึงบินกลับมาเกาะนอนบนยอดไม้สูงปกติอยู่เป็นฝูงเล็กๆ2-6ตัวยกเว้นในบางบริเวณเช่นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งจังหวัดอุทัยธานีพบนกยูงอยู่รวมกันเป็นฝูงถึง10ตัวฤดูผสมพันธุ์อยู่ในระหว่างเดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนเมษายนขนคลุมโคนหางของนกตัวผู้จะเจริญเต็มที่ในเดือนตุลาคมและจะพลัดขนนี้ในเดือนกุมภาพันธ์ วางไข่สีขาว 2-5 ฟอง ในรังที่ทำในกอต้นกก หรือต้นอ้อริมลำธาร
ที่อยู่อาศัย : นกยูงชอบอาศัยในป่าดิบแล้ง และป่าพลัดใบผสมตามริมลำธารในป่า
นกสร้อยทองมีผู้สันนิษฐานว่าเป็นนกขุนทอง
ถิ่นกำเนิด พบในอินเดีย พม่า ศรีลังกา ไทย เวียดนาม เขมร ลาว มาเลเซีย สุมาตรา อินโดนีเซีย และบอร์เนียวสำหรับประเทศไทยพบทุกภาคยกเว้นที่ราบลุ่มภาคกลางเท่านั้น
ลักษณะ ทั้งตัวผู้และตัวเมียเหมือนกัน ขนทั้งตัวดำเหลือบเขียวและม่วงเงา ๆ ยกเว้นแถบขาวที่โคนขน ปีกด้านล่าง นัยน์ตาสีน้ำตาล ปากสีแดงส้มปลายปากเหลือง ขาและเท้าเหลืองส้ม มีเหนียงสีเหลืองสดที่ด้านข้างของใบหน้าใต้ตา และมีเหนียงขนาดใหญ่สีเหลืองสดเช่นกันคุมทึ่ายทอย
นิสัย ชอบเกาะบนกิ่งไม้สูงในป่าทุกชนิด อยู่เป็นคู่หรือเป็นฝูง เคลื่อนไหวบนพื้นดินใช้การกระโดดสองขาเหมือนกับนกกระจอก ไม่ก้าวเดินเหมือนนกเอี้ยงหรือนกกิ่งโครง นกขุนทองมีเสียงไพเราะมากและสามารถพูดเรียนเสียงคนได้ พูดได้มากคำและชัดที่สุด เป็นอันดับสองของโลก ต้องหัดให้พูดตั้งแต่ยังเล็ก ถ้ามีอายุมากจะพูดไม่ได้
การสืบพันธุ์ ผสมพันธุ์เดือนเมษายน-มิถุนายน ทำรังออกไข่ในโพรงไม้สูง ปูโพรงด้วยเศษหญ้เ ขนและสิ่งสกปรก ตลอดจนเปลือกไม้ และวางไข่ครั้งละ 2-4 ฟอง
อาหาร กินทุกอย่างทั้งพืชและสัตว์ แต่ชอบผลไม้มากกว่า เช่น กล้วย มะละกอ และลูกไม้ต่าง ๆ รวมทั้งพริกสดสีแดงด้วย กินแมลง ปลวก ตัวหนอน ไข่มด ข้าวสุก และชอบไข่ต้มด้วย
นกสาริกาเขียว
(Green Magpie)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cissa chinensis
เขตแพร่กระจาย : ในเทือกเขาหิมาลัย จีนตอนใต้ เกาะสุมาตรา เกาะบอร์เนียว และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ลักษณะทั่วไป : มีขนาดประมาณ 38 ซม. ลำตัวมีสีเขียว ปากสีแดงสด มีแถบคาดตาสีดำ ปีกสีน้ำตาลแดง หางยาว
ที่อยู่อาศัยหากิน : พบอาศัยอยู่ตามป่าเบญจพรรณ ป่าดงดิบแล้ง ป่าดงดิบเขา ที่ความสูงไม่เกิน 1,800 เมตรจากระดับน้ำทะเล
หากินระดับพุ่มไม้ บางครั้งก็อยู่รวมฝูงอยู่นกกะรางหัวหงอก นกขุนแผน
อาหารส่วนใหญ่ : แมลงและสัตว์ขนาดเล็ก
ฤดูผสมพันธุ์ : ทำรังวางไข่ช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน รังเป็นรูปถ้วยสร้างอยู่ตามง่ามไม้ที่ติดกับลำต้น บริเวณที่รกทึบ
สูงจากพื้นไม่มากนัก ทั้งสองเพศช่วยกันทำรังวางไข่ ดูแลลูกจนแข็งแรงและบินได้
สถานภาพ : เป็นนกประจำถิ่น พบบ่อยปริมาณไม่มากนัก ทางภาคเหนือ ภาคตะวันตก และบางพื้นที่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
นกที่ปรากฏในบทเห่ชมนก
(ต่อจากหน้า ๑๑)
นกแก้วโม่ง
วงศ์ PSITTACIDAE
Psittacula eupatria (Linnaeus, 1766)
ลักษณะ:นกแก้วขนาดใหญ่มีลำตัวยาว58เซนติเมตรมีจะงอยปากงุ้มสีแดงรอบลำคอมีแถบสีชมพูและมีแถบสีแดงตรงหัวปีกแถบสีดำหนาลากจากจะงอยปากล่างไปยังแถบรอบลำคอบริเวณใบหน้าและลำคอสีปบเหลืองแต่บริเวณท้ายทอยสีฟ้าใต้หางสีเหลืองคล้ำนกตัวเมียและนกอายุน้อยไม่มีแถบแดงรอบคอและแถบดำใต้จะงอยปาก
อุปนิสัย:แหล่งหากินอาจจะอยู่ห่างจากแหล่งพักนอนมากอาหารได้แก่เมล็ดพืชผลไม้ดอกไม้ตาพืชและน้ำหวานฤดูผสมพันธุ์อยู่ในราวเดือนธันวาคมจนถึงเดือนมีนาคม ทำรังในโพรงบนต้นไม้ วางไข่ 2-4 ฟอง
นกนางนวล
นกนางนวล เป็นนกน้ำชนิดหนึ่ง มีถิ่นกำเนิดในตอนกลางของทวีปเอเชีย มันจะอพยพมากยังประเทศไทยในฤดูหนาวของทุกๆปี นกนี้บินหากินอยู่เหนือผิวน้ำ ตามชายฝั่งทะเล และแม่น้ำใหญ่ อาหารได้แก่ แมลงบางชนิด ปลา ปู หอย ตลอดจนเมล็ด และต้นอ่อนของพืช เราสามารถพบมันได้บ่อยๆในจังหวัดสมุทรปราการ แถบบางปู มันชอบบินในลักษณะร่อน และอยู่รวมกันเป็นฝูง
ไก่ฟ้า
ไก่ฟ้า เป็นนกที่อาศัยอยู่ตามพื้นดิน พวกมันจะหาอาหาร และ ทำรังอยู่ บนพื้น จะบินขึ้นไปเกาะ บนต้นไม้ เฉพาะในเวลานอน หรือไม่ก็ตอนที่ตกใจ เมื่อมีศัตรู เข้า มา ใกล้ๆ ไก่ฟ้ามีขาที่แข็งแรงมาก และ มีนิ้วกับเล็บที่ยาว ซึ่งเหมาะ สำหรับใช้ประโยชน์ ในการ คุ้ยเขี่ย หาอาหาร ตามพื้นดิน หลายชนิดมีเดือยแหลมที่ขา โดยเฉพาะตัวผู้ ไก่ฟ้าทุกชนิดในวงศ์นี้ ตัวผู้จะมีสีสรร สวย กว่า ตัวเมีย ทั้งยังมีพฤติกรรมคล้ายกับนก Bird of Paradise คือ จะใช้เวลา ส่วนใหญ่ หมดไปกับ การ อวดโฉม และ ผสมพันธุ์กับตัวเมียหลายตัว ส่วน นกตัวเมีย จะมีสี ที่ ค่อนข้าง กลมกลืนกับ ธรรมชาติ อย่างเช่น น้ำตาล และเทา เพื่อพลางตัวให้กลมกลืน กับ สภาพ แวดล้อม เป็นการซ่อนตัว จากศัตรูในเวลาที่มันต้องกกไข่และเลี้ยงดูลูกๆ ตาม ลำพัง ลูกไก่จะ สามารถวิ่งได้ ทันทีที่ ออกจาก ไข่ ทั้งยังใช้เวลา ไม่นานนัก ในการหัดบินขึ้นไปเกาะบนคอนตามต้นไม้
นกแขกเต้า
มีขนาดเล็ก-กลาง ความยาววัดจากปลายจงอยถึงปลายหาง ประมาณ 35-38 ซ.ม. จงอยปากสั้นและงุ้ม มีปีกแคบและปลายปีกแหลม หางยาวโดยขนคู่ในสุดจะยาวมาก ขาและเท้าแข็งแรง แต่ละเท้ามี 4 นิ้วอยู่ในระดับเดียวกัน ตัวผู้และตัวเมียจะมีสีสันและลักษณะแตกต่างกันเล็กน้อยทั้งสองเพศ สีด้านบนลำตัวสีเขียวเข้ม ด้านล่างสี้ขียวอ่อน บริเวณอกเป็นสีแดง ตัวผู้จงอยปากมีสีแดง หัวสีเทา มีทางสีดำพาดระหว่างตาผ่านหน้าผากและด้านข้างของลำตัวส่วนตัวเมียจะมีจงอยปากสีดำ หัวสีเทามากกว่าตัวผู้ มีทางพาดสีดำทั้งสองแห่งเช่นเดียวกับตัวผู้ เป็นนกที่มีกิจกรรมต่างๆในตอนกลางคืน บินได้ดีและเร็ว กินผลไม้ต่างๆทั้งผลอ่อนและผลแข็ง ชอบเกาะตามกิ่งไม้ที่มีผล ใช้เท้าจับผลไม้ และใช้จงอยปากจก หรือขบให้ผลไม้แตกแล้วกินเนื้อข้างใน มีความสามารถในการเกาะกิ่งไม้ได้ทุกๆแนวแม้ว่าจะห้อยหัว ขณะบินมักส่งเสียงร้องไปด้วย มีเสียงดังกังวาน ชอบทำรังตามโพรงต้นไม้ต่างๆซึ่งเป็นโพรงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ หรือโพรงที่สัตว์อื่นทำทิ้งไว้ ทำงรังและวางไข่ในฤดูร้อน ระหว่างเดือนมีนาคม - พฤษภาคม ไข่มีสีขาว แต่ละรังจะมี 3 - 4 ฟอง ลูกนกที่ออกจากไข่ใหม่ๆตาปิดไม่มีขนคลุมร่างกาย พ่อแม่นกจะช่วยกันกกไข่ และหาอาหารมาป้อน อาหารในระยะแรกเป็นแมลงและตัวหนอน พอลูกนกโตพ่อแม่อาจนำผลไม้มาป้อนสลับกับแมลงและตัวหนอน เมื่อลูกนกแข็งแรงและบินได้แล้วก็จะทิ้งรังไปรวมกับฝูงนกตัวอื่นๆ ถิ่นที่อยู่อาศัย อินเดีย, หมู่เกาะอันดามันส์, จีนตอนใต้, ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับประเทศไทย พบได้ทั่วทุกภาคยกเว้นภาคใต้ ทางตอนใต้พบได้ในเขตป่าเต็งรัง ป่าเบญพรรณ และป่าดิบแล้งทั่วไป จะพบทั้งเป็นคู่และอยู่รวมกันเป็นฝูง
นกที่ปรากฏในบทเห่ชมนก
(ต่อจากหน้า ๑๒)
นกดุเหว่า หรือ กาเหว่า , Koel . Common Koel , Koel Cuckoo , Indian Koel
นกกาเหว่า อยู่ใน สกุลนกกาเหว่า Genus Eudynamys ชื่อสกุลมาจากรากศัพท์ ภาษากรีก คือ eu แปลว่า ดี สนธิกับคำว่า dyname ซึ่งแปลว่า นกกาเหว่า นอกจากนี้ ในเทพนิยาย Dunamene ยังแปลว่า ผู้มีกำลังมาก ชื่อสกุลนี้ น่าจะมีความหมายว่า " นกที่มีอำนาจ หรือ กำลังมาก " ลักษณะของสกุล คือ หัว ไม่มีหงอนขน ปากอ้วน สันขากรรไกรบน มน และ โค้ง ค่อนข้างมาก , ขนหางกว้าง , แข้ง อ้วน แข้งด้านหน้าเป็นเกล็ดแบบเกล็ดซ้อน แข้งตอนบนมีขนปกคลุม ตัวผู้ และ ตัวเมีย มีสีแตกต่างกัน ประเทศไทยพบนกในสกุลนี้ 1 ชนิด คือนกกาเหว่า
“นกโนรี”
พจนานุกรมให้นิยามว่าคือนกปากขอในวงศ์ Loriidae คล้ายนกแก้ว ตัวมีสีสันสวยงาม ฝรั่งเรียก “โลรี่” (Lory) คนไทยเพี้ยนเป็น “โนรี” ถิ่นกำเนิดอยู่ในหมู่เกาะนิวกินี อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย มีหลายชนิด เช่น Lorius chlorocercus, L. tibialis, L. lory lory คนนำเข้ามาเลี้ยงในบ้านเราตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ด้วยเวลาที่ยาวนานเลยทำให้เข้าใจว่าถิ่นกำเนิดอยู่ในสยามประเทศ
ลักษณะทั่วไปที่ทำให้มันมีความเด่น คือ ขน ส่วนใหญ่ เป็นสีแดง โดยเฉพาะ นกโนรีแดงชาด (Chattering or Scarlet Lory; Lorius garrulus) ซึ่ง จะแดงไปหมด แทบทั้งตัว ยกเว้นปีกปลายหาง ที่มีสีเขียวเข้มแซมสลับดำ ส่วนบริเวณ หลัง และ โคนปีก มีสีเหลืองแซม ปาก กับ ม่านตา สีส้ม ขา และนิ้วเท้า สีเทาออกดำ ความยาวจากปลายปากถึงปลายหางประมาณ 30 ซม. ชอบอยู่โดดเดี่ยว เว้นแต่ว่าเมื่อจับคู่แล้วจึงไม่แยก ห่างจากกัน มีบ้างในบางครั้งจะอยู่รวมกันเป็นฝูงราว 4-6 ตัว ชอบบินสูงเหนือยอดไม้ ไม่ส่งเสียง ร้องในขณะบินเหมือนนกแก้วชนิดอื่น อาหารโปรดปราน คือผลไม้สุกที่มีรสหวาน ส่วนหนอนกับแมลงเป็นบางมื้อ และ แปลกกว่านกแก้ว ชนิดใดๆ ตรงที่ ลิ้นของมันตอนปลายจะม้วนเป็นหลอดได้ สำหรับดูดกินน้ำหวานจากดอกไม้
นกสัตวา
นกสัตวาเป็นนกชนิดหนึ่ง ตัวโต มีสีเขียวเกือบเป็นสีคราม
บทเห่ครวญ
โคลง
เสียงสรวลระรี่นี้ เสียงใด
เสียงนุชพี่ฤๅใคร ใคร่รู้
เสียงสรวลเสียงทรามวัย นุชพี่ มาแม เสียงบังอรสมรผู้ อื่นนั้นฤๅมี
กาพย์
เสียงสรวลระรี่นี้ เสียงแก้วพี่หรือเสียงใคร
เสียงสรวลเสียงทรามวัย สุดสายใจพี่ตามมา
ลมชวยรวยกลิ่นน้อง หอมเรื่อยต้องคลองนาสา
เคลือบเคล้นเห็นคล้ายมา เหลียวหาเจ้าเปล่าวังเวง
ยามสองฆ้องยามย่ำ ทุกคืนค่ำย่ำอกเอง
เสียงปี่มี่ครวญเครง เหมือนเรียมคร่ำร่ำครวญนาน
ล่วงสามยามปลายแล้ว จนไก่แก้วแว่วขันขาน
ม่อยหลับกลับบันดาล ฝันเห็นน้องต้องติดตา
เพรางายวายเสพรส แสนกำสรดอดโอชา
อิ่มทุกข์อิ่มชลนา อิ่มโศกาหน้านองชล
เวรามาทันแล้ว จึงจำแคล้วแก้วโกมล ให้แค้นแสนสุดทน ทุกข์ถึงเจ้าเศร้าเสียดาย
งามทรงวงดั่งวาด งามมารยาทนาดกรกราย
งามพริ้มยิ้มแย้มพราย งามคำหวานลานใจถวิล
แต่เช้าเท่าถึงเย็น กล้ำกลืนเข็ญเป็นอาจิณ
ชายใดในแผ่นดิน ไม่เหมือนพี่ที่ตรอมใจ
โคลง
เรียมทนทุกข์แต่เช้า ถึงเย็น
มาสู่สุขคืนเข็ญ หม่นไหม้
ชายใดจากสมรเป็น ทุกข์เท่า เรียมเลย
จากคู่วันเดียวได้ ทุกข์ปิ้มปานปี
๕. ตอนดึก - บทเห่ครวญ
คร่ำครวญถึงหญิงที่ตนรักในยามค่ำคืน ตามลำดับเวลา ยามสอง ยามสาม จนถึงใกล้รุ่ง
ลักษณะพิเศษของกาพย์เห่เรือ
๑. ลักษณะของสำนวนและความหมาย ใช้สำนวนกะทัดรัด มีความหมายเด่นชัดเข้าใจง่ายและมีน้ำหนักอย่างเหมาะสม เช่น
พระเสด็จโดยแดนชล ทรงเรือต้นงามเฉิดฉาย
กิ่งแก้วแพรวพรรณราย พายอ่อนหยับวับงามงอน
๒. ลักษณะถ้อยคำ ใช้ถ้อยคำเกลี้ยงเกลาสละสลวย ไพเราะด้วยการสัมผัสและทำให้เกิดภาพพจน์ เช่น
เนื้ออ่อนอ่อนแต่ชื่อ เนื้อน้องหรืออ่อนทั้งกาย
ใครต้องข้องจิตชาย ไม่วายนึกตรึกตรึงทรวง
๓. ลักษณะการพรรณนา การพรรณนาความรู้สึกลึกซึ้งและแยบคายมาก เช่น
แก้มช้ำช้ำใครต้อง อันแก้มน้องช้ำเพราะชม
ปลาทุกทุกข์อกตรม เหมือนทุกข์ที่พี่จากนาง
๔. ลักษณะอารมณ์ เกิดอารมณ์สะเทือนใจ เช่น
เพรางายวายเสพรส แสนกำสรดอดโอชา
อิ่มทุกข์อิ่มชลนา อิ่มโศกาหน้านองชล
๕. ลักษณะการแต่ง แต่งถูกต้อง มีการเล่นอักษร มีสำนวนอุปมาอุปไมย เช่น
รอนรอนสุริยโอ้ อัสดง
เรื่อยเรื่อยลับเมรุลง ค่ำแล้ว
รอนรอนจิตจำนง นุชพี่ เพียงแม่
เรื่อยเรื่อยเรียมคอบแก้ว คลับคล้ายเรียมเหลียว
๖. กาพย์เห่เรือของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ให้ความรู้สึกและอารมณ์คล้อยตามเพียบพร้อมด้วยคุณค่าด้านวรรณศิลป์นอกจากนี้บทเห่เรือและท่วงทำนองการเห่ยังมีความไพเราะทั้งถ้อยคำลีลาและทำนองการเห่ทำให้เกิดความสุนทรีย์ทางอารมณ์อย่างยิ่ง
...ปางเสด็จประเวศด้าว ชลาลัย
ทรงรัตนพิมานชัย กิ่งแก้ว
พรั่งพร้อมพวกพลไกร แหนแห่
เรือกระบวนต้นแพร้ว เพริศพริ้งพายทอง...
๗. ภาพของการเสด็จทางชลมารคของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเป็นบทที่แสดงบรรยายโวหารบอกถึงความสง่างามของกระบวนเรือกล่าวคือบรรยายถึงเหตุการณ์เมื่อพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศมาถึงแม่น้ำก็มีพลทหารห้อมล้อมมาเป็นขบวนและบรรรยายถึงภาพของเรือที่แสงประกายแพรวพราวเนื่องจากการสะท้อนของแสงจากไม้พายสีทอง
...พระเสด็จโดยแดนชล ทรงเรือต้นงามเฉิดฉาย
กิ่งแก้วแพร้วพรรณราย พายอ่อนหยับจับงามงอน...
๘. ภาพของเรือพระที่นั่งกิ่งเป็นบทที่บรรยายถึงความงดงามงามแพรวพราวของกระบวนเรือความอ่อนช้อยของการพาย ในกาพย์เห่เรือตอนเห่ชมกระบวนเรือมีการใช้คำอุปมาเปรียบเรือพระที่นั่งกับสิ่งต่างๆที่อยู่บนสวรรค์
...สรมุขมุขสี่ด้าน เพียงพิมานผ่านเมฆา
ม่านกรองทองรจนา หลังคาแดงแย่งมังกร...
...สมรรถไชยไกรกาบแก้ว แสงแวววับจับสาคร
เรียบเรียงเคียงคู่จร ดั่ังร่อนฟ้ามาแดนดิน...
....สุวรรณหงส์ทรงภู่ห้อย งามชดช้อยลอยหลังสินธุ์ เพียงหงส์ทรงพรหมินทร์ ลินลาศเลือนเตือนตาชม...
...เรือไชยไวว่องวิ่ง รวดเร็วจริงยิ่งอย่างลม
เสียงเส้าเร้าระดม ห่มท้ายเยิ่นเดินคู่กัน ฯ...
...เรือม้าหน้ามุ่งน้ำ แล่นเฉื่อยฉ่ำลำระหง
เพียงม้าอาชาทรง องค์พระพายผายผันผยอง...
๙. ในกาพย์เห่เรือตอนเห่ชมกระบวนเรือมีการใช้คำที่เน้นสัมผัสการประพันธ์การประพันธ์กาพย์เห่เรือจะมีการใช้คำสัมผัสจำนวนมากทำให้เกิดความไพเราะในการอ่านเป็นอย่างมาก
...ดนตรีมี่อึงอล ก้องกาหลพลแห่โหม
โห่ฮึกครึกครื้นโครม โสมนัสชื่นรื่นเริงพล...
สัมผัสสระ ตรี-มี่ , อล-หล-พล , โหม-โครม-โสม , ฮึก-ครึก , ชื่น-รื่น
สัมผัสอักษร อึง-อล , ก้อง-กา , แห่-โหม , ครึก-ครื้น-โครม , รื่น-เริง
..คชสีห์ีทีผาดเผ่น ดูดังเป็นเห็นขบขัน
ราชสีห์ทียืนยัน คั่นสองคู่ดูยิ่งยง...
สัมผัสสระ สีห์-ที , เป็น-เห็น , สีห์-ที่ , ขัน-ยัน , คู่-ดู
สัมผัสอักษร ผาด-เผ่น , ดู-ดั่ง , ขบ-ขัน , ยืน-ยัน , ยิ่ง-ยง
การพิจารณาคุณค่าด้านวรรณศิลป์ เรื่องกาพย์เห่เรือ
๑. เนื้อหา แบ่งออกเป็น ๕ ตอน คือ
๑.๑ การชมขบวนเรือในเวลาเช้า ได้พรรณนาไว้อย่างละเอียด พิสดาร
๑.๒ การชมฝูงปลาในเวลาสายอุปมาอุปไมยอย่างแจ่มชัดและกินใจอย่างยิ่ง
๑.๓ การชมพรรณนาดอกไม้ในเวลากลางวัน สอดใส่ความรู้สึก และอารมณ์ให้ผู้อ่านคล้อยตาม
๑.๔ การชมฝูงนกในเวลาเย็น อุปมาอุปไมยแจ่มชัด เด่นชัด
๑.๕ การคร่ำครวญถึงนาง ในเวลากลางคืน สร้างบรรยากาศเชิงอรรถรสและวังเวง
๒. รูปแบบ ลักษณะคำประพันธ์ ใช้กาพย์ห่อโคลง คือ แต่งโคลงสี่สุภาพแล้วแต่งกาพย์เลียนแบบพรรณนาเพิ่มเติม
ศิลปการประพันธ์ทำให้เกิดภาพพจน์ แบะความรู้สึกทางสุนทรียะอันได้แก่ ความ ชื่นชมในสิ่งสวยงามตามธรรมชาติ ความไพเราะของดนตรี ความรู้สึกแยบคายทาง อารมณ์สะเทือนใจ
กาพย์เห่เรือ(เห่ชมกระบวนเรือ)เป็นบทที่บรรยายถึงความงามของกระบวนเรือ ลักษณะเรือแต่ละชนิดการจัดรูปขบวนเรือซึ่งมีความงามไพเราะเพราะพริ้งเป็นอย่างยิ่งมีความเด่นชัดในคุณค่าทางวรรณศิลป์ คือ คำสัมผัสและโวหาร ภาพพจน์ชวนจินตนาการถึงความงามสง่าของกระบวนเรือ
การพิจารณาคุณค่าด้านสังคม เรื่องกาพย์เห่เรือ
๑. สะท้อนภาพชีวิตคนไทยด้านการคมนาคม แสดงการสัญจรทางน้ำให้เห็นว่าเมืองไทยมีแม่น้ำลำคลองมาก
๒. แสดงถึงขนบธรรมเนียมประเพณี เช่น
ประเพณีการแต่งกาย ผู้หญิงห่มผ้าสไบคลุมไหล่ เป็นต้น
การไว้ทรงผม ผู้หญิงนิยมไว้ผมยาวประบ่า แล้วเก็บไรที่ถอนผมออกเป็นวงกลม
การบอกเวลา นิยมใช้กลอง ฆ้องเป็นเครื่องบอกเปลี่ยนเวลา
พิศพรรณปลาว่ายเคล้า คลึงกัน
ถวิลสุดาดวงจันทร์ แจ่มหน้า
มัตสยาย่อมพัวพัน พิศวาส
ควรฤพรากน้องช้า ชวดเคล้าคลึงชม
มัตสยายังรู้ชม สมสาใจไม่พามา
คางเบือนเบือนหน้ามา ไม่งามเท่าเจ้าเบือนชาย
กระแหแหห่างชาย ดั่งสายสวาทคลาดจากสม
ปลาทุกทุกข์อกตรม เหมือนทุกข์พี่ที่จากนาง
ไม่เทียบเปรียบโฉมนาง งามเรืองเรื่องเนื้อสองสี
แต่นางห่างเหินพี่ เห็นปลาเคล้าเศร้าใจจร
คิดอนงค์องค์เอวอร ผมประบ่าอ่าเอี่ยมไร
เหมือนสร้อยทรงทรามวัย ไม่เห็นเห็นเจ้าเศร้าบ่วาย
ใครต้องข้องจิตชาย ไม่วายนึกตรึกตรึงทรวง
เหมือนตาสุดาดวง ดูแหลมล้ำขำเพราคม
คิดความยามเมื่อสม สนิทเคล้าเจ้าเอวบาง
หวีเกล้าเจ้าสระสาง เส้นเกศสลวยรวยกลิ่นหอม
เหมือนพี่แอบแนบถนอม จอมสวาทนาฏบังอร
คะนึงนุชสุดสายสมร มาด้วยพี่จะดีใจ
๒. เวลาสาย บทเห่ชมปลา


















ดอกนางแย้ม ดอกจำปา ดอกประยงค์ ดอกพุดจีบ ดอกพิกุล ดอกสุกรม ดอกสายหยุด ดอกพุทธชาด
(มีการกล่าวถึงเป็นพิเศษ "บุหงารำไป" ซึ่งเป็นดอกไม้แห้งอบหอม ห่อด้วยผ้าโปร่ง)

























เรื่อยเรื่อยลับเมรุลง ค่ำแล้ว
รอนรอนจิตจำนง นุชพี่ เพียงแม่
เรื่อยเรื่อยเรียมคอยแก้ว คลับคล้ายเรียมเหลียว
สนธยาจะใกล้ค่ำ คำนึงหน้าเจ้าตราตรู
เรื่อยเรื่อยมาเรียงเรียง นกบินเฉียงไปทั้งหมู่
ตัวเดียวมาพลัดคู่ เหมือนพี่อยู่ผู้เดียวดาย
เห็นฝูงยูงรำฟ้อน คิดบังอรร่อนรำกราย
สร้อยทองยิ่งเยื้องชาย เหมือนสายสวาทนาดนวยจร
สาลิกามาตามคู่ ชมกันอยู่สู่สมสมร
แต่พี่นี้อาวรณ์ ห่อนเห็นเจ้าเศร้าใจครวญ
นางนวลนวลน่ารัก ไม่นวลพักตร์เหมือนทรามสงวน
แก้วพี่นี้สุดนวล ดั่งนางฟ้าหน้าใยยอง
นกแก้วแจ้วแจ่มเสียง จับไม้เรียงเคียงคู่สอง
เหมือนพี่นี้ประคอง รับขวัญน้องต้องมือเบา
ไก่ฟ้ามาตัวเดียว เดินท่องเที่ยวเลี้ยวเหลี่ยมเขา
เหมือนพรากจากนงเยาว์ เปล่าใจเปลี่ยวเหลียวหานาง
แขกเต้าเคล้าคู่เคียง เรียงจับไม้ไซ้ปีกหาง
เรียมคะนึงถึงเอวบาง เคยแนบข้างร้างแรมนาน
ดุเหว่าเจ่าจับร้อง สนั่นก้องซ้องเสียงหวาน
ไพเราะเพราะกังวาน ปานเสียงน้องร้องสั่งชาย
โนรีสีปานชาด เหมือนช่างฉลาดวาดแต้มลาย
ไม่เท่าเจ้าโฉมฉาย ห่มตาดพรายกรายกรมา
สัตวาน่าเอ็นดู คอยหาคู่อยู่เอกา
เหมือนพี่ที่จากมา ครวญหาเจ้าเศร้าเสียใจ
ปักษีมีหลายพรรณ บ้างชมกันขันเพรียกไพร
ยิ่งฟังวังเวงใจ ล้วนหลายหลากมากภาษา



วงศ์ PHASIANIDAE
Pavo mupicus Linnaeus , 1766
ดังเช้นในนกตัวผู้
อุปนิสัย : ออกหากินตามหาดทรายและสันทรายริมลำธารในตอนเช้าตรู่จนกระทั่งถึงตอนบ่ายกินทั้งเมล็ดพืชและสัตว์เล็กๆแล้วจึงบินกลับมาเกาะนอนบนยอดไม้สูงปกติอยู่เป็นฝูงเล็กๆ2-6ตัวยกเว้นในบางบริเวณเช่นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งจังหวัดอุทัยธานีพบนกยูงอยู่รวมกันเป็นฝูงถึง10ตัวฤดูผสมพันธุ์อยู่ในระหว่างเดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนเมษายนขนคลุมโคนหางของนกตัวผู้จะเจริญเต็มที่ในเดือนตุลาคมและจะพลัดขนนี้ในเดือนกุมภาพันธ์ วางไข่สีขาว 2-5 ฟอง ในรังที่ทำในกอต้นกก หรือต้นอ้อริมลำธาร

ถิ่นกำเนิด พบในอินเดีย พม่า ศรีลังกา ไทย เวียดนาม เขมร ลาว มาเลเซีย สุมาตรา อินโดนีเซีย และบอร์เนียวสำหรับประเทศไทยพบทุกภาคยกเว้นที่ราบลุ่มภาคกลางเท่านั้น
ลักษณะ ทั้งตัวผู้และตัวเมียเหมือนกัน ขนทั้งตัวดำเหลือบเขียวและม่วงเงา ๆ ยกเว้นแถบขาวที่โคนขน ปีกด้านล่าง นัยน์ตาสีน้ำตาล ปากสีแดงส้มปลายปากเหลือง ขาและเท้าเหลืองส้ม มีเหนียงสีเหลืองสดที่ด้านข้างของใบหน้าใต้ตา และมีเหนียงขนาดใหญ่สีเหลืองสดเช่นกันคุมทึ่ายทอย
นิสัย ชอบเกาะบนกิ่งไม้สูงในป่าทุกชนิด อยู่เป็นคู่หรือเป็นฝูง เคลื่อนไหวบนพื้นดินใช้การกระโดดสองขาเหมือนกับนกกระจอก ไม่ก้าวเดินเหมือนนกเอี้ยงหรือนกกิ่งโครง นกขุนทองมีเสียงไพเราะมากและสามารถพูดเรียนเสียงคนได้ พูดได้มากคำและชัดที่สุด เป็นอันดับสองของโลก ต้องหัดให้พูดตั้งแต่ยังเล็ก ถ้ามีอายุมากจะพูดไม่ได้
การสืบพันธุ์ ผสมพันธุ์เดือนเมษายน-มิถุนายน ทำรังออกไข่ในโพรงไม้สูง ปูโพรงด้วยเศษหญ้เ ขนและสิ่งสกปรก ตลอดจนเปลือกไม้ และวางไข่ครั้งละ 2-4 ฟอง
อาหาร กินทุกอย่างทั้งพืชและสัตว์ แต่ชอบผลไม้มากกว่า เช่น กล้วย มะละกอ และลูกไม้ต่าง ๆ รวมทั้งพริกสดสีแดงด้วย กินแมลง ปลวก ตัวหนอน ไข่มด ข้าวสุก และชอบไข่ต้มด้วย

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cissa chinensis



วงศ์ PSITTACIDAE
Psittacula eupatria (Linnaeus, 1766)
ลักษณะ:นกแก้วขนาดใหญ่มีลำตัวยาว58เซนติเมตรมีจะงอยปากงุ้มสีแดงรอบลำคอมีแถบสีชมพูและมีแถบสีแดงตรงหัวปีกแถบสีดำหนาลากจากจะงอยปากล่างไปยังแถบรอบลำคอบริเวณใบหน้าและลำคอสีปบเหลืองแต่บริเวณท้ายทอยสีฟ้าใต้หางสีเหลืองคล้ำนกตัวเมียและนกอายุน้อยไม่มีแถบแดงรอบคอและแถบดำใต้จะงอยปาก
อุปนิสัย:แหล่งหากินอาจจะอยู่ห่างจากแหล่งพักนอนมากอาหารได้แก่เมล็ดพืชผลไม้ดอกไม้ตาพืชและน้ำหวานฤดูผสมพันธุ์อยู่ในราวเดือนธันวาคมจนถึงเดือนมีนาคม ทำรังในโพรงบนต้นไม้ วางไข่ 2-4 ฟอง

นกนางนวล เป็นนกน้ำชนิดหนึ่ง มีถิ่นกำเนิดในตอนกลางของทวีปเอเชีย มันจะอพยพมากยังประเทศไทยในฤดูหนาวของทุกๆปี นกนี้บินหากินอยู่เหนือผิวน้ำ ตามชายฝั่งทะเล และแม่น้ำใหญ่ อาหารได้แก่ แมลงบางชนิด ปลา ปู หอย ตลอดจนเมล็ด และต้นอ่อนของพืช เราสามารถพบมันได้บ่อยๆในจังหวัดสมุทรปราการ แถบบางปู มันชอบบินในลักษณะร่อน และอยู่รวมกันเป็นฝูง


มีขนาดเล็ก-กลาง ความยาววัดจากปลายจงอยถึงปลายหาง ประมาณ 35-38 ซ.ม. จงอยปากสั้นและงุ้ม มีปีกแคบและปลายปีกแหลม หางยาวโดยขนคู่ในสุดจะยาวมาก ขาและเท้าแข็งแรง แต่ละเท้ามี 4 นิ้วอยู่ในระดับเดียวกัน ตัวผู้และตัวเมียจะมีสีสันและลักษณะแตกต่างกันเล็กน้อยทั้งสองเพศ สีด้านบนลำตัวสีเขียวเข้ม ด้านล่างสี้ขียวอ่อน บริเวณอกเป็นสีแดง ตัวผู้จงอยปากมีสีแดง หัวสีเทา มีทางสีดำพาดระหว่างตาผ่านหน้าผากและด้านข้างของลำตัวส่วนตัวเมียจะมีจงอยปากสีดำ หัวสีเทามากกว่าตัวผู้ มีทางพาดสีดำทั้งสองแห่งเช่นเดียวกับตัวผู้ เป็นนกที่มีกิจกรรมต่างๆในตอนกลางคืน บินได้ดีและเร็ว กินผลไม้ต่างๆทั้งผลอ่อนและผลแข็ง ชอบเกาะตามกิ่งไม้ที่มีผล ใช้เท้าจับผลไม้ และใช้จงอยปากจก หรือขบให้ผลไม้แตกแล้วกินเนื้อข้างใน มีความสามารถในการเกาะกิ่งไม้ได้ทุกๆแนวแม้ว่าจะห้อยหัว ขณะบินมักส่งเสียงร้องไปด้วย มีเสียงดังกังวาน ชอบทำรังตามโพรงต้นไม้ต่างๆซึ่งเป็นโพรงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ หรือโพรงที่สัตว์อื่นทำทิ้งไว้ ทำงรังและวางไข่ในฤดูร้อน ระหว่างเดือนมีนาคม - พฤษภาคม ไข่มีสีขาว แต่ละรังจะมี 3 - 4 ฟอง ลูกนกที่ออกจากไข่ใหม่ๆตาปิดไม่มีขนคลุมร่างกาย พ่อแม่นกจะช่วยกันกกไข่ และหาอาหารมาป้อน อาหารในระยะแรกเป็นแมลงและตัวหนอน พอลูกนกโตพ่อแม่อาจนำผลไม้มาป้อนสลับกับแมลงและตัวหนอน เมื่อลูกนกแข็งแรงและบินได้แล้วก็จะทิ้งรังไปรวมกับฝูงนกตัวอื่นๆ ถิ่นที่อยู่อาศัย อินเดีย, หมู่เกาะอันดามันส์, จีนตอนใต้, ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับประเทศไทย พบได้ทั่วทุกภาคยกเว้นภาคใต้ ทางตอนใต้พบได้ในเขตป่าเต็งรัง ป่าเบญพรรณ และป่าดิบแล้งทั่วไป จะพบทั้งเป็นคู่และอยู่รวมกันเป็นฝูง






เสียงนุชพี่ฤๅใคร ใคร่รู้
เสียงสรวลเสียงทรามวัย นุชพี่ มาแม เสียงบังอรสมรผู้ อื่นนั้นฤๅมี
เสียงสรวลเสียงทรามวัย สุดสายใจพี่ตามมา
ลมชวยรวยกลิ่นน้อง หอมเรื่อยต้องคลองนาสา
เคลือบเคล้นเห็นคล้ายมา เหลียวหาเจ้าเปล่าวังเวง
ยามสองฆ้องยามย่ำ ทุกคืนค่ำย่ำอกเอง
เสียงปี่มี่ครวญเครง เหมือนเรียมคร่ำร่ำครวญนาน
ล่วงสามยามปลายแล้ว จนไก่แก้วแว่วขันขาน
ม่อยหลับกลับบันดาล ฝันเห็นน้องต้องติดตา
เพรางายวายเสพรส แสนกำสรดอดโอชา
อิ่มทุกข์อิ่มชลนา อิ่มโศกาหน้านองชล
เวรามาทันแล้ว จึงจำแคล้วแก้วโกมล ให้แค้นแสนสุดทน ทุกข์ถึงเจ้าเศร้าเสียดาย
งามทรงวงดั่งวาด งามมารยาทนาดกรกราย
งามพริ้มยิ้มแย้มพราย งามคำหวานลานใจถวิล
แต่เช้าเท่าถึงเย็น กล้ำกลืนเข็ญเป็นอาจิณ
ชายใดในแผ่นดิน ไม่เหมือนพี่ที่ตรอมใจ
มาสู่สุขคืนเข็ญ หม่นไหม้
ชายใดจากสมรเป็น ทุกข์เท่า เรียมเลย
จากคู่วันเดียวได้ ทุกข์ปิ้มปานปี

คร่ำครวญถึงหญิงที่ตนรักในยามค่ำคืน ตามลำดับเวลา ยามสอง ยามสาม จนถึงใกล้รุ่ง

ทรงรัตนพิมานชัย กิ่งแก้ว
พรั่งพร้อมพวกพลไกร แหนแห่
เรือกระบวนต้นแพร้ว เพริศพริ้งพายทอง...
กิ่งแก้วแพร้วพรรณราย พายอ่อนหยับจับงามงอน...
ม่านกรองทองรจนา หลังคาแดงแย่งมังกร...
เรียบเรียงเคียงคู่จร ดั่ังร่อนฟ้ามาแดนดิน...
เสียงเส้าเร้าระดม ห่มท้ายเยิ่นเดินคู่กัน ฯ...
เพียงม้าอาชาทรง องค์พระพายผายผันผยอง...
โห่ฮึกครึกครื้นโครม โสมนัสชื่นรื่นเริงพล...
สัมผัสอักษร อึง-อล , ก้อง-กา , แห่-โหม , ครึก-ครื้น-โครม , รื่น-เริง
ราชสีห์ทียืนยัน คั่นสองคู่ดูยิ่งยง...
สัมผัสอักษร ผาด-เผ่น , ดู-ดั่ง , ขบ-ขัน , ยืน-ยัน , ยิ่ง-ยง


เพิ่มความคิดเห็น